จางหมี่สาวน้อยผู้มีตาทิพย์ เล่ม.4

จางหมี่นั้นรีบพาพ่อของเธอมาส่งที่คฤหาสน์หยางก่อนที่จะรีบออกจากปักกิ่ง โดยเธอบอกกับพ่อว่าให้เธอไปจัดการเรื่องทางนั้นก่อนถ้าท่านพ่ออยากจะตามไปค่อยให้จ้าวซีห่าวพาไป จางหมี่นั้นไม่ได้ขับรถกลับเมืองเฟิง แต่เธอใช้พลังจากแหวนที่ทำให้เธอสามารถวิ่งได้เร็วยิ่งกว่าการขับรถสปอตเสียอีก โดยที่ความเร็วที่เธอกำลังวิ่งอยู่ตอนนี้อยู่ 200 เมตร/ชั่วโมง ซึ่งเมืองเฟิงนั้นห่างจากปักกิ่งประมาณ 6 ชั่วโมงเท่านั้นและด้วยความเร็วที่เธอวิ่งทำให้จางหมี่มาถึงเมืองเฟิงภายในเวลาไม่ถึง2ชั่วโมง เธอตรงไปที่โรงพยาบาลเมืองเฟิงทันที และได้โทรหาคุณชายใหญ่จงถามว่าแม่ของเธออยู่ที่ห้องไหน “คุณหนูมาถึงแล้วหรือครับ คะ คือเร็วมากเลยคุณหนูอยู่ที่เมืองเฟิงหรือครับตอนที่ผมโทรศัพท์หา” คุณชายใหญ่จงที่ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อเฝ้ารอการผ่าตัดอยู่หน้าห้อง ได้ถามออกมา ก็เขาเพิ่งจะโทรบอกเมื่อ2 ชั่วโมงที่แล้วถ้ายังอยู่ที่ปักกิ่งจะมาถึงเร็วขนาดนี้ได้อย่างไรกัน จางหมี่รีบเดินมาที่ชั้นที่คุณชายจงบอกทันทีและเมื่อมาถึงก็เห็นคนตระกูลจงมากกว่า 10 คน รวมทั้งนายท่านจงและคุณนายเม่ยที่พากันยืนรอกันอยู่หน้าห้องผ่าตัดซึ่งตอนนี้แสงไฟยังเป็นสีแดงอยู่ จางหมี่ใช้พลังตาทิพย์มองทะลุเข้าไปเห็นหมอและพยาบาลหลายคนกำลังพยายามสุดความสามารถที่จะยื้อชีวิตของแม่เธอเอาไว้ ในเสี้ยวนาทีหนึ่งที่เธอกำลังมองอยู่นั้น เสียงเตือนชีพจรดังระงม นางพยาบาลแจ้งหมอที่ผ่าตัดอยู่ด้วยน้ำเสียงร้อนรนและตกใจว่า “ชีพจรหยุดเต้นแล้วค่ะคุณหมอ!” อาจารย์แพทย์ที่ทำการผ่าตัดให้แม่ของจางหมี่ รีบกดหน้าอกแม่ของเธออย่างรวดเร็ว “เร็ว! เตรียมเครื่องกระตุ้นหัวใจ เร็วเข้า!” พยาบาล “เตรียมเครื่องกระตุ้นหัวใจแล้วค่ะ!” อาจารย์หมอรีบ ช็อตด้วยเครื่องกระตุ้นหัวใจ 1... 2... 3... ช็อต! เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึกของทุกคนในห้องผ่าตัด ความตึงเครียดแผ่ลามไปทุกที่ .. จางหมี่ที่ยืนมองอยู่จากด้านนอก ได้หลับตาและส่งพลังปราณรักษาที่เข้มข้นให้ทะลุกำแพงเข้าสู่ร่างกายของแม่ของเธอทันที ปราณสีทองเข้มข้นกระจายออกมาทั่วทั้งร่าง เครื่องกระตุ้นหัวใจที่กำลังทำงานอยู่นั้นได้หยุดชะงักใช้ไม่ได้ในทันที อาจารย์แพทย์นั้นตกใจมาก เขารีบเอาเครื่องออกและเรียกหาเครื่องกระตุ้นสำรองทันที แต่ยังไม่ทันที่จะต่อเครื่องใหม่ เข้าที่ร่างกายของแม่ของเธอ เสียงเตือนชีพจรกลับมาดังอีกครั้ง อาจารย์หมอรีบผ่าตัดต่อทันทีและตอนนี้เขารู้สึกว่าทุกครั้งที่สัมผัสร่างกายของคนไข้เหมือนว่ามีพลังที่อบอุ่นหลั่งไหลจากร่างกายนั้นเข้าสู่ร่างกายของเขาด้วย เหมือนว่าพลังนี้ทำให้เขามีแรงและความเร็วและความแม่นยำในการผ่าตัดก็มากขึ้นด้วย อาจารย์แพทย์รู้สึกงวยงงกับความรู้สึกนั้นอยู่สักพัก แต่เขาก็หยุดความคิดและมาเร่งการทำงานช่วยชีวิตคนไข้คนนี้ต่อทันที จางหมี่ที่ได้ส่งพลังปราณช่วยชีวิตเข้าไปในร่างของแม่และได้แผ่พลังให้กระจายออกสู้หมอและพยาบาลที่พยายามช่วยยื้อชีวิตแม่ของเธอด้วย และตอนนี้ร่างกายของแม่ของเธอได้ถูกพลังรักษาสีทองไหลเวียนกระจายไปทั่วร่างแล้ว เด็กสาวเพ่งมองไปทั่วร่างกายแม่ของเธออีกครั้งเพื่อดูว่าจะมีไหนที่เสียหายบ้างและจะได้ใช้ปราณเข้ารักษาทันที ตอนนี้เหลือเพียงเหล็กแหลมที่อาจารย์หมอกำลังผ่าตัดเอาออกมาเท่านั้นที่เป็นปัญหาอยู่และเธอรอให้เขาดึงออกมา เธอจะทำการแทรกพลังปราณรักษาบาดแผลนั้นเอง ตอนนี้ไม่มีใครกล้าเดินมารบกวนหมอเทวดาน้อยสักคนแม้แต่คุณชายใหญ่จง เพราะสิ่งที่พวกเขาเห็นตอนนี้คือ ดูเหมือนร่างกายของหมอเทวดาน้อยจะมีประกายสีทองเข้มข้นกระจายออกมาอย่างมากมายจนแม้พวกเขาที่มองด้วยตาเปล่ายังสามารถมองเห็นพลังสีทองนี้เลย พวกตระกูลจงตอนนี้นั้นยิ่งกว่าศรัทธาในตัวหมอเทวดาอีกในตอนนี้ ไม่ถึง 10 นาทีต่อมา เมื่ออาจารย์หมอสามารถเอาเหล็กออกมาจากร่างกายของแม่เธอได้แล้ว เขามองไปที่รอยแผลที่ควรจะมีเลือดมากมายออกเป็นปรกติของการผ่าตัด แต่กลับพบว่าเลือดที่ไหลออกมาจากแผลนั้นน้อยมากจน แม้พยาบาลที่ถือเครื่องมือเตรียมจะดูดเลือดออกยัง งง เพราะไม่มีเลือดให้ดูดเลย อาจารย์แพทย์ไม่รอช้ารีบทำการเย็บแผลทันที ระหว่างนั้นเหมือนกับว่าแผลที่เขาดึงเหล็กออกนั้นเริ่มจะสมานตัวของมันไปด้วย เพียงไม่ถึง 10นาทีการเย็บแผลก็สำเร็จ อาจารย์หมอทำการเย็บผิวหนังปิดทันทีและเขาได้ประกาศว่าการผ่าตัดสำเร็จแล้ว หมอและพยาบาลทุกคนในห้องต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ต้องทราบว่าผู้ที่พาคนไข้มาคือตระกูลจงที่เป็นตระกูลที่ถือว่าร่ำรวยมากตระกูลหนึ่งของเมืองเฟิง พวกเขามาถึงก็เรียกหาอาจารย์ที่เก่งที่สุดของโรงพยาบาลทันที พวกเขาใช้อำนาจกดดันจนในที่สุดอาจารย์แพทย์ที่ใหญ่สุดในโรงพยาบาลก็ต้องเป็นคนรับเคสนี้เอง เมื่อไฟหน้าห้องผ่าตัดดับลงและอาจารย์แพทย์คนที่ผ่าตัดก็เดินออกมา คนตระกูลจงรีบพุ่งไปหาเขาทันทีประหนึ่งว่าคนไข้ในห้องเป็นคนสำคัญมาของครอบครัวของพวกเขา จางหมี่ที่ยืนมองอยู่นั้นมองพวกเขาด้วยความพอใจ พลางคิดว่าพวกเขาใช้ได้ แบบนี้เธอสามารถที่จะส่งเสริมพวกเขาได้เต็มทีหน่อย เมื่อคุณหมอเดินมาหา พอเขาเปิดหน้ากาก ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้พวกตระกูลจงคลายใจลงทันที “การผ่าตัดสำเร็จไปได้ด้วยดีมากเลยครับ ร่างกายของคนไข้แข็งแรงมาก ผมไม่เคยพบเคสแบบนี้มาก่อนจริงๆ เหมือนว่าร่างกายของคนไข้ก็เริ่มจะรักษาตัวเองไปด้วย ถ้าแบบนี้อีกไม่นานก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ครับ” อาจารย์แพทย์แจ้งอาการให้ญาติฟังทันที เขารู้สึกโล่งใจมากที่สามารถช่วยชีวิตคนไข้ขาใหญ่คนนี้เอาไว้ได้ ส่วนคนตระกูลจงก็ได้แต่พยักหน้าและยิ้มด้วยความดีใจ พวกเขาทั้งหมดเหลือบตาไปมองเด็กสาวที่ตอนนี้ยังยืนจ้องไปที่ห้องที่แม่ของเธอผ่าตัดอยู่ “แล้วคนไข้อีกคนที่กำลังท้องอยู่ละคะ” จางหมี่หันไปถามหมอทันที เพราะตอนที่เธอรับสายเหมือนว่าป้าถงก็โดนชนด้วย “คนไข้ที่ตั้งครรภ์ตอนนี้ปลอดภัยครับเพราะดูเหมือนกว่าเธอจะถูกผลักออกมากก่อนที่รถคนนั้นจะพุ่งชนพวกเขาอย่างแรง และเป็นคนไข้ด้านในที่เป็นคนผลักเธอออก ไม่ใช่นั้นพวกเราคงไม่สามารถที่จะรักษาครรภ์ของเธอเอาไว้ได้แน่นอน” หมอบอกอาการคนไข้อีกคนที่ตอนนี้เข้าพักในห้องพักเรียบร้อยแล้ว “พาฉันไปที่ห้องนั้นเถอะ” จางหมี่หันไปหาคุณชายจงที่ตอนนี้เขายืนคอตกอยู่ข้างๆ เพราะเขาคิดว่านี้คือความผิดของเขาดูแลแม่และป้าของหมอเทวดาไม่ดีพอทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงแบบนี้ เขารีบบอกห้องและเดินตามไปทันทีและกลุ่มคนตระกูลจงก็เดินตามเธอมาทั้งหมดเช่นกัน พวกเขาจ้องห้องพิเศษเอาไว้2 ห้องเพื่อที่จะได้ดูแลป้าถงของเธอได้สะดวก เมื่อจางหมี่ถึงห้องพักฟื้นเด็กสาวเดินไปที่เตียง เธอเห็นป้าของเธอมีรอยถลอกปอกเปิกเต็มไปหมด และที่ศีรษะก็มีผ้าพันแผลเอาไว้ใกล้กลับแผลเดิมคราวที่แล้วด้วย จางหมี่หน้าตามืดครึ้มขึ้นมาอีกครั้ง เธอเดินไปวางมือลงไปบนท้องของป้าถงเพื่อดูว่าหลานชายของเธอเป็นอย่างไรบ้าง ระหว่างนั้นก็ได้ส่งปราณรักษาเข้าไปด้วย พลังปราณสีทองไหลไปทั่วร่างของป้าถงทันที ลุงเจียงเพิ่งเปิดประตูเข้ามาตอนที่เธอทำการรักษาป้าถงเสร็จ เสี่ยวซินซินลูกพี่ลูกน้องของเธอเมื่อเห็นว่าเธออยู่ในห้องก็รีบวิ่งร้องไห้มากอดเธอทันที “หมี่ หมี่ แม่กับน้าเจิน ฮืออออ” เด็กสาวไม่สามารถที่จะพูดได้เธอเอาแต่ร้องไห้ จนเมื่อจางหมี่บอกว่าทุกคนจะไม่เป็นไรเธอถึงได้ดีขึ้น ต้องทราบว่าเสี่ยวซินซินนั้นเจอเหตุการณ์กระทบจิตใจเธอหลายครั้งแล้วตั้งแต่เธอโดนจับตัวมาโดยคนตระกูลจงและเหตุการณ์ที่แม่ของเธอหัวกระแทกที่ปักกิ่ง และมาตอนนี้ทั้งสองคนยังได้รับอุบัติเหตุร้ายแรงแบบนี้อีก เด็กสาวทั้งหวาดกลัวและวิตกกังวลมาตลอด จางหมี่หันไปมองหน้าลุงเจียงแล้วถามขึ้นมาว่า “ลุงอยู่ในเหตุการณ์หรือเปล่าคะ และรู้ไหมว่าใครเป็นคนทำ” ลุงเจียงยังไม่ทันได้ตอบก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาก่อน “เป็นคนของตระกูลกัว ที่เป็นตระกูลของภรรยาเก่าของผมที่หย่าออกไปครับคุณหนู เหตุการณ์นี้ควรจะเป็นความรับผิดชอบของตระกูลจง” จงเต๋อฟงพูดขึ้นมาก่อนที่ลุงเจียงจะได้ตอบคำถามของเธอ “ทำไมตระกูลกัวถึงได้อยากทำร้ายครอบครัวของฉัน” จางหมี่หันไปถามคุณชายใหญ่จง “คือว่า พวกเขาแค้นใจที่คุณหนูเข้ามาแทรกแซงแผนการที่พวกเขาต้องการที่จะทำลายตระกูลจงครับ ความจริงแล้วคนที่วางยาพิษคุณพ่อคุณแม่ก็คือสาวใช้ที่เป็นคนของกัวจางยี่ที่เป็นภรรยาเก่าผมเอง พวกตระกูลกัววางแผนมาหลายปีแล้ว ที่จะส่งคนเข้ามาทำลายตระกูลจงของผม คือว่าพวกเราสองตระกูลเป็นศัตรูกันมาหลายชั่วอายุคนแล้วครั้ง พวกเรา 2ตระกูลเรียกได้ว่าไม่อาจจะอยู่ร่วมโลกกันได้ด้วยซ้ำ แต่ที่ผมแต่งกับกัวจางยี่เพราะเธอบอกผมว่าอยากจะให้ครอบครัวของเราปรองดองกัน ไม่อยากจะให้ทะเลาะกันอีกแล้ว เป็นผมที่โง่เองมองไม่ออกว่าเป็นแผนของตระกูลกัวที่หวังจะเข้ามาทำลายตระกูลจง และอีกอย่างตอนนั้นเธอก็มาบอกผมว่าเธอท้องกับผมแล้ว ผมก็เลย ..ก็เลย” จงเต๋อฟงเล่าเรื่องราวระหว่างตระกูลพวกเขาออกมา เขาคิดพลางตำหนิตัวเองที่เป็นคนนำพา หมาป่าเข้ามาในบ้านและทำลายครอบครัวของเขาเอง ถ้าตอนนั้นคุณหนูไม่เข้าไปที่บ้านและเห็นเหตุการณ์ ตอนนี้คนที่จะตายอาจจะเป็นเขาก็ได้ และตอนนี้ยังทำให้ครอบครัวของคุณหนูที่อุตส่าห์ฝากเขาดูแลก็ต้องมารับเคราะห์ไปด้วยอีก ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจมากจริงๆ “และคราวนี้คุณแม่และคุณป้าของคุณหนูต้องการรับเคราะห์แทนอีก ตระกูลกัวให้คนมาบอกกับคุณพ่อคุณแม่ของผมว่า นี้คือ ราคาที่ครอบครัวของคุณหนูต้องจ่ายถ้าคุณหนูต้องการที่จะช่วยเหลือตระกูลกัว และเมื่อต้องการที่จะเป็นศัตรูกับตระกูลกัวคุณหนูก็ต้องเตรียมตัวเอาไว้ นี้เป็นเพียงการสั่งสอนเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ครับ คุณหนูครับพวกผมขอโทษที่เรื่องราวของตระกูลของพวกผมทำให้ครอบครัวของคุณหนูเดือดร้อนขนาดนี้" คุณชายจงก้มศีรษะขอโทษเด็กสาว จางหมี่ที่ได้ฟังเรื่องราวก็นิ่งทันที อะไรนะ นี้พวกตระกูลกัวอะไรนั้นคิดจะสั่งสอนเธอผ่านครอบครัวของเธออย่างนั้นหรือ มือของเด็กสาวกำแน่นขึ้นมาเมื่อนึกถึงเหล็กแหลมที่เสียบแทงทะลุปอดของแม่ของเธอ มันเหมือนกันกับเหล็กแหลมนั้นทะลุหัวใจเธอเช่นกัน ถ้าหากเธอมาไม่ทัน หรือถ้าหากจงเต๋อฟงติดต่อเธอไม่ได้ล่ะ ตอนนี้เธอคงสูญเสียคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตไปแล้ว พวกตระกูลกัวคงจะคิดว่าเธอเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่คิดจะทำอะไรก็ได้สินะ คนบางจำพวกก็กินอิ่มและว่างมากเกินไปจริงๆ สินะ หึหึหึ …. ได้สิ ได้เลย ในเมื่ออยากจะสั่งสอน เดี๋ยวเธอจะแนะนำคนตระกูลกัวเองว่าการสั่งสอนที่แท้จริงเป็นแบบไหน … จางหมี่หันหน้าไปหาคุณชายจงแล้วถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบเบาๆว่า “ ตระกูลกัวไปทางไหน” **** มาเลยอยากจะแตะย้อนเกร็ดมังกรนักใช่ไหม ตระกูลกัวเตรียมตัวเลย น้องจะพาไปทานยำ ***** น้องจะโหดอีกละ นึกถึงว่ารูปปั้นนางฟ้าและรูปปั้นนักรบเอาไว้