จ้าวเว่ยเว่ยสาวน้อยทะลุมิติพร้อมกระจกวิเศษ เล่มที่.4

จ้าวเว่ยเว่ยสาวน้อยทะลุมิติพร้อมกระจกวิเศษ เล่มที่.4
จ้าวเว่ยเว่ยสาวน้อยทะลุมิติพร้อมกระจกวิเศษ เล่มที่.4

หวังหย่งเล่อยืนนิ่งสูดหายใจเข้าลึกๆ เตรียมพร้อมที่จะเริ่มร่ายกลอน ทุกคนเงียบสงบ รอฟังบทกวีอันไพเราะจากเขา น้ำเสียงทุ้มต่ำเหมาะสมกับบุคลิกเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่เขารังสรรค์ขึ้นมา… สายใยผูกพันดั่งเส้นไหม คล้องใจสองเราไว้ด้วยรัก พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดและประคบประหงม มอบชีวาและพรอันยิ่งใหญ่ ยามทารกน้อยนอนหลับในอ้อมกอด น้ำตาแห่งความสุขรินรด คอยดูแลประคบประหงมไม่เคยเว้น ด้วยความรักที่เปี่ยมล้นเกินกว่าคำ ยามลูกน้อยหัดคลานหัดเดิน คอยประคองจับมือไม่ให้หกล้ม ยามลูกน้อยเจ็บป่วยยามไม่สบาย คอยดูแลไม่ห่างกายห่างใจ ยามลูกน้อยเติบโตเป็นวัยรุ่น คอยอบรมสั่งสอนให้เป็นคนดี สอนให้รู้จักผิดชอบชั่วดี สอนให้รู้จักหน้าที่และความรับผิดชอบ ยามลูกน้อยโตเป็นผู้ใหญ่ คอยให้กำลังใจอยู่เคียงข้าง ยามลูกน้อยพบกับอุปสรรคและความยากลำบา คอยปลอบโยนให้กำลังใจไม่เคยท้อ รักของพ่อแม่นั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าคำ เปรียบดั่งแสงเทียนส่องนำทาง ส่องนำลูกน้อยให้เดินบนเส้นทางชีวิต สู่ความสำเร็จและความสุขที่ปรารถนา ลูกจงกตัญญูต่อพ่อแม่ ดูแลท่านยามแก่เฒ่า ตอบแทนพระคุณที่ท่านเลี้ยงดู ให้ท่านสุขสบายยามบั้นปลาย ความรักของพ่อแม่เปรียบดั่งของขวัญอันล้ำค่า จงรักษาไว้ให้มั่นคง อย่าให้สูญเสียไปไหน เพราะรักของท่านมีค่าเกินกว่าสิ่งใด เสียงของเขา ดังก้องไปทั่วหอประชุม บทกวีของเขานั้นแตกต่างจากคนอื่นที่เน้นเรื่องความรักของคนหนุ่มสาว เขากลับแต่งบทกวีที่เกี่ยวกับความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกดังนั้นบทกลอนของเข้าจึงเข้าไปในอารมณ์ของผู้คนได้ง่าย ดังนั้นในรอบนี้ชัยชนะจึงเป็นของเขาอย่างเอกฉันท์ ผู้ชมต่างประทับใจ ปรบมืออย่างท่วมท้น หวังหย่งเล่อ ยิ้มอย่างภูมิใจ เขารู้ดีว่า เขาได้ทุ่มเท ตั้งใจ และทำผลงานออกมาได้ดีที่สุด ในรอบชิงชนะเลิศแม้ว่าผลการแข่งขันจะยังไม่ออก แต่หวังหย่งเล่อ มั่นใจว่า เขาได้แสดงศักยภาพของเขาออกมาอย่างเต็มที่ และบทกวีของเขาจะต้องสร้างความประทับใจให้กับทุกคนอย่างแน่นอนและชัยชนะจะต้องเป็นของเขาเท่านั้น ฮาฮาฮา!!! (ไรท์ : เดี๋ยวนะ!ใจเย็นท่านยังไม่ชนะเลยนะควายน้อยอย่าเพิ่งหัวเราะท่านลืมแล้วเช่นนั้นรึว่าวันนี้มีอาจารย์ที่สอนท่านมาแข่งขันด้วย..) เฟิงมิ่งจูยกยิ้มเพียงเล็กน้อย พลางคิดว่า เจ้าควายน้อยก็มีพัฒนาการไม่เลวหลังจากที่มาอยู่ที่เมืองหลวง แต่ว่า..อย่าลืมว่าอาจารย์ของเขาอยู่ที่นี่วันนี้ ไหนเลยนางจะปล่อยให้เขาชนะได้ง่ายๆ เล่า. รอยยิ้มเย้ยหยันถูกส่งไปให้เขาทันที.. เมื่อจบการแข่งขันในรอบแรกตอนนี้ก็ได้ผู้ที่ชนะมาแล้ว 10 ท่านพิธีกรได้เชิญให้ทั้งสิบท่านขึ้นมาบนเวทีเพื่อให้ผู้ชมชื่นชมอีกครั้ง โดยให้ยืนเรียกตั้งแต่คนที่ชนะในรอบที่ 1-10 ผู้ชมต่างปรบมือให้เกรียวกราว บ้างก็ส่งเสียงโห่ร้อง เสียงเชียร์ แสดงความประทับใจในบทกวีของผู้เข้าแข่งขัน เฟิงมิ่งจูยืนอยู่ในลำดับที่ 8 มีสาวน้อยหน้าตาน่ารักยืนเป็นอันดับที่ 9 และควายน้อยเป็นอันดับที่ 10 สาวน้อยที่ยืนข้างนางนั้นยืนก้มหน้าก้มตาตลอดเวลาเฟิงมิ่งจูที่ยืนอยู่ข้างๆ นางหันมองและยกยิ้มบางๆ ให้นาง เจ้าหมายเลข 10 นึกว่านางยิ้มให้ตัวเองเขาจึงหันมายักคิ้วให้นางหนึ่งครั้ง เฟิงมิ่งจูเมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงสะบัดหน้าหันไปทางอื่นทันที ขณะนั้นเองเจ้าหมายเลย 10 ก็สะกิดสาวน้อยขี้อายคนนั้นและกระซิบบางอย่างกับนาง นางเงยหน้าขึ้นมองเขาและพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเจ้าหมายเลข 10 ก็เปลี่ยนที่กับสาวน้อยหมายเลข 9 เขามายืนชิดอยู่ข้างเฟิงมิ่งจู เมื่อยืนอยู่ใกล้ๆ นางกลิ่นของChanel Chance ที่ลูกสาวฉีดพรมให้นางก็กรุ่นลอยมาถึงเจ้าควายน้อยทันที กลิ่นนั้นหอมมากจนเขาต้องร่อนจมูกมาใกล้ผมของนาง เฟิงมิ่งจูเห็นว่าเจ้าหมายเลข 10 นั้นขยับยืนชิดนางจนเกินไปแล้วนางจึงได้ยกเท้าขึ้นมาแล้วเหยียบกระแทกลงบนเท้าเขาอีกครั้ง...ตอนนี้หน้าของคุณชายเล็กของตระกูลหวังที่แสนจะหล่อเหลาแบบแบดๆ ของเขาก็เหยเกขึ้นมาด้วยความเจ็บที่ถูกสาวชาวบ้าน ‘ของเขา’ คนนี้เหยียบเข้าให้...55555 และก่อนที่จะเริ่มการแข่งขันในรอบตัดสิน ก็เกิดมีเสียงดังไปทั่วบริเวณ และผู้คนก็แหวกออกจากกันเหมือนเหมือนกับทะเลแหวก คนที่กำลังเดินมานั้นคือ ชินอ๋องและที่เดินตามมาด้านหลังของเขานั้นคือ องค์หญิงใหญ่นั้นเอง พวกเขาทั้งสองนั้นจะมาเป็นกรรมการ การตัดสินในครั้งนี้ด้วย เมื่อเดินมาถึงบริเวณที่กรรมการนั่งทั้งสองก็เงยหน้าและพวกเขาต่างก็ประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นแม่สาวงามเฟิงมิ่งจูยืนอยู่บนเวทีด้วย ชินอ๋องนั้นถึงกับยิ้มออกมาโดยที่ห้ามไม่ได้ ขณะที่เขากำลังจะส่งยิ้มไปให้แม่นางเฟิง สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นร่างเล็กที่ยืนเป็นคนสุดท้ายใน10คนที่อยู่บนเวที คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นมาทันที ทำไมคนผู้นี้ยังกล้าที่จะมายืนต่อหน้าเขาอีกนะ หน้าด้านเสียจริง คิดหรือว่ามีพ่อเป็นแม่ทัพแล้วเขาจะกลัวหึ หรือว่าที่เขาให้บทเรียนไปครั้งก่อนนางไม่จำ ...อย่ามาวุ่นวายกับเขาอีกก็แล้วกันถึงแม้ว่าคนในตระกูลเขาจะยอมให้อภัยนางแต่เขาไม่มีทางยอม...เมียของเขาทั้งคนที่ตายไปเพราะปกป้องเด็กบ้าคนนี้.... ชินอ๋องสลัดศีรษะเล็กน้อยเพื่อไล่เรื่องราวของเด็กบ้าที่เขารังเกียจคนนั้นออกจากหัว ขณะนั้นนิ้วชี้กับนิ้วโป้งของเขาก็ถูกันเบาๆ เหมือนกับว่าพวกมันจำสัมผัสที่เขาสัมผัสผิวเนื้ออ่อนบางแสนนุ่มของนางได้อย่างไรอย่างนั้น เขาตวัดสายตามองนางอีกครั้งก่อนจะเก็บสายตากลับและหันหน้ากลับมาสนใจแม่นางเฟิงต่อทันทีโดยไม่เหลือบตาแลมองไปที่ ถังลี่อิงลูกสาวคนเล็กของท่านแม่ทัพ ถังซานอีกต่อไป ถึงแม้ว่าแม่นางน้อยคนนั้นจะพยายามที่จะส่งสายตาให้เขามากแค่ไหนก็ตาม ส่วนองค์หญิงใหญ่ที่เห็นเสด็จอาของตัวเองยิ้มขนาดนั้นก็ยกมือปิดปากและหัวเราะเบาๆ นางเห็นว่าเสด็จอานั้นส่งสายตาไปที่เวที เพราะว่าเห็นแม่นางเฟิงมิ่งจู่นั่นเอง เมื่อกรรมการกิตติมศักดิ์มากันครบ การแข่งขันรอบตัดสินก็เริ่มขึ้นโดยครั้งนี้ทั้ง 10 จะต้องประชันกันบนเวทีโดยหัวข้อนั้นครั้งนี้ให้ผู้แข่งขันคิดหัวข้อขึ้นมาเองแต่ว่า พวกเขาจะต้องเขียนให้เสร็จภาพในเวลา 1 จิบเท่านั้นนี้คือข้อบังคับสำหรับรอบชิงชนะเลิศ นั้นหมายความว่า นอกจากเขียนมาให้ไพเราะแล้วพวกเขาจะต้องเขียนอย่างรวดเร็วอีกด้วย มันเป็นการแสดงถึงศักยภาพที่แท้จริงของคนที่จะเป็นผู้ชนะในปีนี้ เสียงกลองดังก้อง เป็นสัญญาณให้การแข่งขันเริ่มต้น ผู้แข่งขันทุกคนต่างก็เข้าประจำที่ของตัวเอง และลงมือเขียนบทกวีทันที หวังหย่งเล่อ เหลือบตามองสาวชาวบ้านของเขาและลงมือเขียนบทกวีทันที คราวนี้เขารู้ว่าความกดดันของเขานั้นไม่ใช่มาจากผู้แข่งขันอื่น แต่ว่ามาจากแม่สาวชาวบ้าน'ของเขา' นั้นเอง เพราะนางเคยบอกว่านางเป็นคนที่สอนเขาอ่าน เขียน ดังนั้นเขาจึงได้พยายามอย่างสุดความสามารถบทกวีเพื่อต่อสู้กับเฟิงมิ่งจูเท่านั้น บรรยากาศ ภายในหอประชุม ตึงเครียด เงียบสงัด ผู้เข้าแข่งขันทั้ง 10 คน ต่างก็ก้มหน้าก้มตา เขียนบทกวีอย่างตั้งอกตั้งใจ กติกาของรอบนี้ ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคน จะต้องคิดหัวข้อบทกวีขึ้นมาเอง และเขียนให้เสร็จภายในเวลา 1 จิบชา ผู้เข้าแข่งขัน แต่ละคนต่างก็มีสไตล์การเขียนที่แตกต่างกัน บางคนเขียนด้วยความรวดเร็ว บางคนเขียนด้วยความตั้งใจ บางคนเขียนด้วยอารมณ์เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วราวสายลมพัด ในที่สุดเสียงกลอง ก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นสัญญาณ ว่าเวลาหมดลง ผู้เข้าแข่งขัน ต่างก็จำต้องวางพู่กันลงสีหน้าของพวกเขานั้นไม่น่ามองยิ่งนั้นเพราะพวกเขายังเขียนบทกวีไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำนะสิ แต่ว่าในกลุ่มของพวกเขามีเพียง 2 คนเท่านั้นที่เขียนเสร็จทันเวลา พิธีกรนั้นเมื่อทราบว่าใน10 คนนั้นมีเพียง 2 คนที่เขียนเสร็จเขาจึงได้หันมาถามกรรมการว่าจะทำเช่นไรดี กรรมการที่เหลือนั้นจึงตัดสินว่าให้ชินอ๋องเป็นผู้ตัดสินเถิดว่าจะให้ใครในสองคนนี้เป็นผู้ชนะ แต่ชินอ๋องนั้นบอกว่าหากว่ามีเพียงสองคนที่เขียนเสร็จทันเวลาเช่นนั้นก็ให้ผู้ชมเป็นผู้ตัดสินเถิด โดยทุกคนก็เห็นด้วย ตอนนี้ผู้แข่งขันทั้งหมดต่างก็ถอยหลังไปเล็กน้อยเพราะพื้นที่ด้านหน้านั้นพวกเขาได้เอาเวทีที่สูงขึ้นมาตั้งเพื่อให้ที่หนึ่งและที่สองได้ยืนนั้นเอง พิธีกรเดินออกมาอีกครั้ง “ท่านแขกผู้มีเกียรติทุกท่านตอนนี้ก็ถึงเวลาที่พวกเรารอคอย ลอยคอกันแล้วนะขอรับสำหรับผู้ที่ชนะเลิศในการแข่งขันบทกวีประจำปีนี้ อย่างที่พวกท่านทราบว่าผู้แข่งขันทั้ง 10 ท่านนั้นมีเพียง 2 ท่านที่สามารถเขียนบทกวีเสร็จทันเวลาและตามกติกาของทางการแข่งขัน ดังนั้นเพื่อเป็นให้การตัดสินนี้บริสุทธิ์ยุติธรรมกรรมการทั้งหมดจึงได้ตัดสินใจให้ผู้ชมเป็นผู้ตัดสินการแข่งขันครั้งนี้ด้วยตัวเองโดยจะให้ผู้เข้าแข่งขันอ่านบทกวีของตัวเองและให้วัดจากเสียงตบมือ หากว่าผู้ใดที่ได้เสียงตบมือมากกว่าชัยชนะจะตกเป็นของท่านผู้นั้นทันที” “ดี! ดี! ดี!" เสียงตอบรับของผู้ชมนั้นเซ็งแซ่ไปหมด เพราะทุกคนพวกเขาเป็นได้แต่ผู้ชมมาคราวนี้พวกเขาได้เป็นผู้ตัดสินแล้วจะไม่ให้พวกเขาดีใจได้อย่างไร “เช่นนั้นข้าจะจับไม้สั้นไม้ยาวนะขอรับว่าใครจะได้อ่านก่อน เชิญคุณชายหวังหย่งเล่อจากจวนตระกูลหวังมาด้านหน้าเลยขอรับ...และขอเชิญแม่นางเฟิงมิ่งจูจากจวนเฟิงมาด้านหน้าเลยขอรับ นี่ นี่ จับไม้สั้น ไม้ยาวเลย..อ้า!! ได้แล้ว เป็นคุณชายหวังได้ขึ้นกล่าวก่อนนะขอรับ เชิญแม่นางเฟิงรอด้านข้างขอรับ” พิธีกรจัดแจงให้เฟิงมิ่งจูที่จับได้ไม้สั้นมายืนรอด้านข้างเวที... หวังหย่งเล่อเหล่ตามองนางเล็กน้อยประมาณว่าดูข้าเป็นตัวอย่างนะแม่สาวชาวบ้านอะไรอย่างนั้น น้ำเสียงทุ้มต่ำนุ่มนวลของเขาเอื้อนเอ่ยบทกวีเกี่ยวกับการกสิกรรมที่เขาชื่นชอบมาก ผู้ชมที่ได้ฟังต่างก็ยกยิ้มหลงไหลไปกับความไพเราะของบทกลอนของเขา พวกเขาหลับตาเห็นทุ่งสีเหลืองทองอร่าม มีควาย 4-5 ตัวเล็มหญ้าอยู่มีชาวนากำลังทำงานอยู่ชีวิตช่างสงบสุขเมื่อพวกเขาลืมตาขึ้น ต่างก็ตบมือให้เขาดังลั่นเลยทีเดียว หวังหย่งเล่อเดินเชิดหน้ากลับมายืนด้านข้างบ้างคราวนี้เป็นคราวของเฟิงมิ่งจู ในที่สุด ก็มาถึงคิวของเฟิงมิ่งจู เธอหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนน้ำเสียงกังวานใสแต่ว่าทรงพลังจะดังขั้นมา… ณ ดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล วีรบุรุษยืนหยัดกล้าหาญ ปกป้อง แผ่นดินด้วยใจมุ่งมั่น สละชีพ เพื่อชาติบ้านเมือง เลือดเนื้อ หลั่งริน ราวสายธาร แววตา มุ่งมั่น ไฟลุกโชน ข้าคือผู้พิทักษ์ มิเคยหวั่นไหว ข้าคือทหารกล้าที่จะปกปักษ์ แผ่นดินจนลมหายใจสุดท้าย ศัตรูร้าย จ้องทำลายล้าง ข้าขอสู้ สุดแรงกายใจ ปกป้อง ประชาชน ไร้หวั่นไหว แผ่นดินนี้ ข้าจะปกป้อง เสียงรบกึกก้อง ดังกึกก้อง วีรบุรุษ สู้สุดใจ สู้เพื่อชาติ สู้เพื่อศักดิ์ศรี สู้เพื่อพี่น้อง สู้เพื่อแผ่นดินเกิด ข้าจะปกป้อง ตราบสิ้นลมหายใจ ธงรบ ปลิวไสว ราวนกอินทรี วีรบุรุษ ยืนหยัด องอาจ แผ่นดินนี้ ข้าจะปกป้อง ด้วยชีวิต และเลือดเนื้อ จงฟัง เสียงเพลงวีรบุรุษ จงจดจำ เรื่องราวอันกล้าหาญ จงสืบทอด เจตนารมณ์อันยิ่งใหญ่ ปกป้อง แผ่นดินให้คงอยู่ชั่วนิรันดร์กาล สิ้นเสียงเอื้อนเอ่ยของนางสีหน้าของคนที่ชมตอนนี้มีไหลคนน้ำตาไหล หลายคนมีสีหน้าฮึกเหิมและหลายคนถึงกับลุกขึ้นมาโค้งคำนับไปทางพระราชวังความเงียบปกคลุมไปทั่วพื้นที่ และแล้วในตอนนั้นก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นมาจ้าวเว่ยเว่ยยืนขึ้นมาและปรบมือเสียงดังให้ท่านแม่ของนาง ตามมาด้วยเจ้ารองเจ้าเล็กที่กรีดร้องออกมาด้วยความดีใจที่คิดว่าท่านแม่เอาชนะท่านพ่อได้แล้ว ต่อมาการปรบมือก็เหมือนกับโรคติดต่อที่มันแพร่ไปทั่วลานขนาดใหญ่ทันที เสียงปรบมือดังกึกก้องลานและดังนานเกือบ 1 จิบชาเลยทีเดียว ผู้ชมต่างประทับใจในบทกวีของเฟิงมิ่งจู เธอได้รับคะแนนอย่างท่วมท้น กลายเป็นผู้การแข่งขันบทกวีอย่างขาดลอย ตอนนี้สีหน้าของคุณชายหวังนั้นไม่อยากจะเชื่อที่เห็นคนที่มาชมการแข่งขันทั้งหมดต่างก็ลุกขึ้นยืนและปรบมือให้นางนานเกือบ1จิบชา เฟิงมิ่งจูโค้วคำนับให้พวกเขา และพิธีกรก็รีบเดินเข้าแสดงความยินดีเหมือนนางงามมิสแกรนด์ชนะประกวดอย่างไรอย่างนั้น และพานางมาที่เวทีที่จัดเอาไว้สำหรับที่หนึ่งและเชิญคุณชายมายืนเป็นอันดับที่สอง หวังหย่งเล่อถึงไม่อยากจะยินยอมก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ในขณะที่ทุกคนต่างก็ปรบมือหัวเราะและเอ่ยแสดงความยินดีกับครอบครัวของนางที่ยืนอยู่ด้านล่างนั้น เฟิงมิ่งจูก็เอ่ยเบาๆ ให้ได้ยินกันสองคนกับควายน้อยว่า " ท่านเป็นเพียงศิษย์เล็ก ๆ ของข้า อย่าได้คิดมาเทียบชั้นกับข้าผู้เป็นอาจารย์เลย!!!" *** อ้าวชินอ๋องท่านมี FC เยอะมากนะอย่าให้พวกเขาเห็นด้านมืดของท่านสิเจ้าค่ะ เก็บมือก่อนจะมาลูบไล้อะไรตอนนี้ 5555 ไรท์ก็ไม่ปล่อยชินอ๋องลอยนวลเช่นกัน...เนาะควายน้อยของไรท์**** น้องถังลี่อิง ลูกแม่ทัพถังซานที่ชินอ๋องแอบพวกท่านรีดเอาไว้555 * หน้าตาน้องน่ารังแกดี 555