
ห้วงปัทมกาล เล่ม 3 จบ

คำโปรย “เดี๋ยว” “กระไรของแม่บัวอีก” “งูน้ำ” เธอพูดจบก็มองงูน้ำที่ว่ายผ่านหน้า สำหรับเธอ งูน้ำก็แค่งูไม่มีพิษ ส่วนคนอีกคนตอนนี้กำลัง... “งู!” จากนั้นก็ขยับขึ้นจากน้ำอย่างรวดเร็ว ขึ้นได้ก็วิ่งหนี แถมไม่พอยังหกล้มหัวฟาดลงพื้นอีก ลำบากเธอที่พาตัวเองขึ้นน้ำแล้วยังต้องประคองเขาขึ้นมานั่งหอบ “ผู้ชายตัวใหญ่เสียเปล่า แถมท่านยังเป็นขุนอีก เหตุใดกลัวงูเล่า” “หากเอ็งเคยโดนงูกัดจนเกือบตายก็คงกลัวเช่นข้า ศัตรูนับหมื่นนับแสนข้าพร้อมรบ แต่กับงูขอเป็นอีกหนึ่งอย่างที่ยอมแพ้” ปัทมาหัวเราะขำ ไม่รู้จะสงสารหรือเห็นใจดี เธอยกมือขึ้นแล้วโอบบ่าเขา “ข้าไม่กลัวงู ฉะนั้นแล้ว หากท่านเจองูเมื่อใดก็เข้ามาแอบหลังข้าได้ ข้าไม่ถือ หรือจักให้ข้าฆ่างูก็ย่อมได้” ไม่พูดเปล่า เธอหันมองงูน้ำที่อยู่ริมฝั่งแล้วก็เดินไป จับที่หัวมันยกชูขึ้นมา ขุนปราบฤทธิ์เห็นแบบนั้นแล้วก็... เป็นลมอีกรอบ... ให้ตายเถอะ เธอตัวเล็กมากเชียวนะ แล้วยังต้องมาอุ้มคนตัวโต กว่า อย่าเรียกว่าอุ้มเลย เรียกว่าลากยังดีกว่า โชคดีที่มีกระท่อมที่อยู่ใกล้กัน แต่กว่าจะประคองคนกลัวงูขึ้นแคร่ไม้ไผ่ที่อยู่ใต้ถุนเรือนได้ก็เล่นเอาเธอเกือบเป็นลม “ให้ตายเถอะ ปกติต้องเป็นพระเอกที่อุ้มนางเอกไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้ฉันต้องเป็นคนอุ้มคนตัวโตกว่าด้วย” ให้ตายเถอะ ถ้าอยู่ในร่างปัทมาเธอจะไม่บ่นสักคำ แต่เพราะอยู่ในร่างแม่บัวที่แสนจะอรชร แถมยังไม่โตเท่าไร ก็เล่นเอาเธอปวดแขนไปหมด *********************** ขุนปราบฤทธิ์มองเห็นแม่บัวตกน้ำต่อหน้าต่อตาเขารีบกระโดดลงน้ำทันที!! ขุนวิชิตรามที่จับจ้องอีกฝ่ายอยู่แล้วก็กระโดดลงน้ำเช่นเดียวกัน เสียงทั่วบริเวณนั้นดังต่อเนื่อง แม่ปรางร้องเรียกให้คนช่วย หันมองคุณพี่รามโผล่หัวขึ้นมาก่อนจะดำลงไปใหม่อีกรอบ ส่วนคุณพี่ปราบเองก็เช่นกัน พวกเขาดำผุดดำว่ายลงหลายรอบ แต่กลับไม่มีผู้ใดโผล่ขึ้นมาพร้อมพี่บัวสักคน “ผู้ใดก็ได้ ทำกระไรสักอย่างสิเจ้าคะ” แม่ปรางร้องขอให้คนลงไปช่วยเพิ่ม แล้วก็ทันหันเห็นแม่ช้อยกำลังยกยิ้มยินดี มิได้มีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด “...” แม่ปรางเห็นแล้วก็แค้นเคืองใจ จึงเดินเข้าไปใกล้ จากนั้นก็... ตูม!!! “ว้าย คุณหนูเจ้าขา คุณหนูของบ่าวตกน้ำเจ้าค่ะ” บ่าวเผื่อนร้องดังลั่นไม่สนผู้ใด จนตอนนี้ผู้คนแถวนั้นล้วนตกใจกับเหตุการณ์คนตกน้ำถึงสองคน!!! *********************** ปัทมายกมือไหว้ สิ่งที่พระอาจารย์กล่าวล้วนแฝงด้วยความจริง แสดงว่าอีกฝ่ายรู้ว่าเธอมาจากไหน “แล้วลูกสามารถกลับไปได้ไหมเจ้าคะ” พระอาจารย์ธรรมโชติหลับตาลง “เรื่องของอนาคตไม่อาจเปิดเผยได้ แต่ให้เอ็งทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาให้ดี” หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายคืออะไร ปัทมาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนนึกถึงสมบัติของชาติที่ถูกขโมย และต้องนำไปคืนพิพิธภัณฑ์ตามที่ได้รับหน้าที่มาก่อนหน้า และในความบังเอิญเมื่อเธอย้อนเวลามาก็มีความเกี่ยวข้องกับสมบัติดังกล่าวอีก มันคือหน้าที่ เธอกระจ่างแจ้งแล้ว หากเธอรวบรวมมันกลับคืนได้สำเร็จ เธออาจจะได้กลับไป “ลูกทราบแล้วเจ้าค่ะ” ดวงตาพระอาจารย์ธรรมโชติลืมขึ้น จากนั้นก็มองไปยังชายทั้งสองคน ปัทมาหันมองตาม เสียงท่านอาจารย์ดังก้องในหูเธอ “ติดตามช่วยเหลือพวกเขาสองคนให้ดี เพราะเขาคือคนที่จะช่วยอโยธยาได้” ปัทมาหันมองแล้วพิจารณา พ่อสิน พ่อสิน ก่อนจะนึกถึงชื่อหนึ่ง พระเจ้าตากสินมหาราช ถ้าเช่นนั้นแล้วคนที่นั่งอยู่ข้างกายที่ชื่อทองด้วงก็คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์!! เธอเย็นวาบไปทั้งตัว ก่อนจะทรุดลงแล้วก้มกราบสองคนโดยไม่รู้ตัว ชายสองคนหันมอง “แม่เป็นกระไรฤๅ” เธอพูดไม่ออก ได้แต่ก้มหน้าลงต่ำ นึกถึงคำที่โต้ตอบก่อนหน้าแล้วผมของเธอก็ใกล้จะร่วงไม่เหลือสักเส้น ตายๆๆ ปากเสียจนหัวใกล้จะขาดไหมล่ะ ยัยปัดเอ๋ย ********************** “อยากมีโดรนบังคับ อยากมีเครื่องยนต์เรือ อยากมีรถไว้ตาม อยากมีมอเตอร์ไซค์ไว้ขี่” ถึงกับร้องเป็นเพลงเลยทีเดียว เพราะว่าการทำงานของยุคนี้เป็นอะไรที่ขัดใจไปหมด ปัทมามองเรือที่พายไปอย่างเชื่องช้า “ท่านขุน ท่านเร่งพายเร็วอีกนิดได้หรือไม่ พวกเขาจักหายไปแล้ว” “หากเข้าใกล้ก็จัก...” “เห็นได้” เธอได้ยินเป็นครั้งที่สิบแล้ว ยิ่งได้ฟังก็ยิ่งขัดใจ “ถามจริง ท่านไม่คิดว่าพวกเขาจักรู้แล้วดอกรึ” “ไม่คิด กลางคืนเช่นนี้นอกจากเรือของพวกเรา ก็มักจักจะมีเรือของชาวบ้านออกมาวางไซดักปลาเช่นกัน ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล” โอเค ไม่กังวลก็ไม่กังวล เธอจะคิดว่ามาชมวิวกินลมชมจันทร์แล้วกัน *******************“ ว่าแต่กำไลที่ข้ามอบให้ ไม่ใช่ว่าเจ้าเอาไปขายแล้วหนา” แค่กๆๆ ปัทมาไอติดๆ กัน จากนั้นเงยหน้ามองเขา “เปล่า ข้าแค่เห็นมันมีราคา ก็เลยเก็บไว้อย่างดี” แค่กๆๆ เสียงแม่ปรางไอออกมา จากนั้นก็หัวเราะเสริม คำว่าเก็บไว้อย่างดีของแม่บัวก็คือจำนำอยู่บ้านนายสิงห์เรียบร้อยแล้ว เธอคิดว่าหลังจากขายยาสูบได้หมดจะเอาเงินไปไถ่คืนแล้วกัน ถ้านายสิงห์ไม่นำมันไปขายเสียก่อน