เสน่หานวลนาง

พานพบครั้งที่หนึ่งคือความบังเอิญ เขามองดูตัวโง่งมเตี้ยป้อม ใบหน้าพริ้มเพราติดมอมแมมไปสักเล็กน้อย เดินวนหลงป่าอยู่หลายวันในที่สุดจึงได้พบเจอกันตรงๆเสียที ตัวโง่งมนั่งลงกอดเข่าขออาศัยข้างกองไฟที่ก่อเอาไว้ ก่อนจากกันตัวโง่งมยื่นกำไลหยกวงหนึ่งเป็นค่าตอบแทน พานพบครั้งที่สองคือโชคชะตากำหนด ดวงตากลมโตคู่นั้นมีหรือเขาจะจำไม่ได้ นางถูกมัดติดกับต้นไม้ท่ามกลางอากาศหนาว ท่าทีกินลมชมทิวทัศน์ไม่สะทกสะท้านทั้งที่ริมฝีปากเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วง ไม่ทราบว่านางโง่งมหรือสติปัญญาด้อยพัฒนา สุดท้ายรู้สึกรำคาญลูกตาช่วยตัดเชือกให้นาง ของขอบคุณที่ได้ติดไม้ติดมือมาจึงกลายเป็นสุราสมุนไพรสองไห พานพบครั้งที่สามคือวาสนาลิขิต พบพานกันหนนี้ สตรีโง่งมก็ถูกกลั่นแกล้งอีกแล้ว โดนจับขังในตำหนักร้างไร้ผู้คนชวนหวาดหวั่น ทว่าสิ่งที่นางทำคือเอนตัวหนุนกองฟืนอ่านตำราพลางกินหมั่นโถวอย่างสบายใจ "ข้าซื้อให้พี่ชาย" "ในเมื่อซื้อมาแล้ว เจ้าก็ช่วยสวมให้ข้าที" เฮ่อเหลียนเฟยหยินโน้มศรีษะลงดวงตาคมกริบสบประสานดวงตากลมโตสุกใส รอคอยเมล็ดถั่วสวมหมวกใบนั้นให้แก่ตน พวงแก้มเห่อร้อนขึ้นสีจัดลามไปถึงหู นางเขย่งปลายเท้ารีบสวมหมวกให้อีกฝ่าย ดวงตาที่เคยทอดมองอย่างตรงไปตรงมาบัดนี้กลับหลุบหลบแทบไม่ทัน พี่ชายรูปโฉมสง่างามข้อนี้นางทราบดี ยิ่งเขายื่นใบหน้าเข้ามาชิดใกล้ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกประหม่า "พี่ชาย ท่านมิรู้หรือว่าตนเองมีใบหน้าเป็นอาวุธ รอยยิ้มท่านมิต่างจากลูกศรปักกลางใจสตรี หนึ่งยิ้มสามารถล่มเมืองได้เชียวนะ" "เช่นนั้นข้ายิ้มให้เจ้าหนึ่งครา เจ้าจะยอมจ่ายให้ข้าพันตำลึงทองหรือไม่เล่า" "ราคาค่ารอยยิ้มท่านนั้นแพงนัก เหวยเหว่ยมิอาจหาญ เกรงว่าคงต้องเขียนสัญญาชำระหนี้สักหลายแผ่นเผื่ออีกสิบปีข้างหน้า"