ภรรยากำมะลอของท่านหมอรูปงาม

หญิงสาวมีท่าทางอึกอักทันทีเมื่อเจออีกฝ่ายย้อนถาม ทว่าสุดท้ายนางก็ตอบเขาเสียงเบา “ก็ ก็แล้วแต่ท่านสิ” สิ้นคำก็เอนตัวลงนอนมองเพดานถ้ำ เพื่อหลบสายตาคมที่กำลังจ้องมอง เสียงหัวเราะ หึหึ จึงดังมาให้ได้ยิน นำพาใจดวงน้อยเต้นรัวเพราะกลัวว่าท่านหมอจะทำอย่างที่นางพูด จนหญิงสาวไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมองเขาและนอนนิ่งไม่กล้าขยับ “นอนเถิด หญิงชายไม่ควรอยู่ใกล้กันมากเกินไป ก่อนหน้านี้ข้าทำไปก็เพื่อช่วยชีวิตเจ้า และมันคือการรักษาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” เอ่ยออกมาอย่างรู้ทัน จากนั้นเขาก็ปิดตาลง เพราะวันนี้เหนื่อยล้าเต็มที การขึ้นเขามันใช้แรงมาก โดยเฉพาะการขนของขึ้นมาด้วย ยามนี้เขาจึงอยากจะนอนพักแล้ว ทว่ายังไม่ทันได้หลับเขาก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้น ก่อนจะมองไปยังที่มาของเสียง “จะไปที่ใด” ใช้สายตากดต่ำมองร่างเล็กที่กำลังขยับตัวลุกนั่งหย่อนขา และกำลังส่งยิ้มแห้งใส่เขา “ข้าปวดเบา” เอ่ยจบก็พยายามลุกขึ้นยืน ก้าวขาออกไปช้า ๆ โดยมีเจ้าตงตงยืนมองอย่างกังวล จากนั้นก็วิ่งมาหาผู้เป็นนายพร้อมกับงับเอาชายเสื้อดึงเขาลุกขึ้น ไป่ชวนเหลือบตามองสุนัขของตนแล้วยิ้ม “ข้ารู้น่า” ก่อนจะหันมายังคนเจ็บ “กว่าจะถึงมันคงราดใส่ชุดข้าแล้วกระมัง” พูดขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย คนเจ็บจึงยู่ปากใส่อย่างลืมตัว ทว่าพอเห็นสายตาคมดุที่จ้องมองก็รีบหุบลง เพราะเขาเดินเข้ามาช้อนอุ้มนางขึ้นพาออกไปด้านนอกแล้ววางลงข้างพุ่มไม้ “รีบจัดการเสีย” ร่างสูงเดินออกมารอที่หน้าถ้ำ ปล่อยให้หญิงสาวจัดการทำธุระของตน เมื่อแล้วเสร็จก็เดินออกมาอย่างเชื่องช้า เห็นเช่นนั้นไป่ชวนก็เดินมาช้อนอุ้มนางขึ้น แต่ต้องชะงักเท้าหยุดลง เมื่อมีเสียงทักทายขึ้นจากทางด้านหลัง “ไป่ชวนเจ้าก็อยู่ที่นี่หรือ ละ…แล้วนี่ใครกัน” ลุงหยางพรานในหมู่บ้านใกล้เคียงเอ่ยถามทันที เขาตั้งใจจะมาพักที่นี่ก่อนขึ้นไปล่าสัตว์ช่วงเช้า นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอหมอหนุ่มอยู่กับสตรีได้ “นั่นสิ นี่พี่แอบมีเมียตั้งแต่เมื่อใดกันข้าไม่เห็นจะรู้เลย ไยไม่ส่งข่าวแจ้งให้พวกเรารู้บ้าง ข้าจะได้ไปร่วมยินดี” บุตรชายนายพรานหยางนามว่าเสิ่นเทาเอ่ยถามระคนอยากรู้ พร้อมกันนั้นเขาก็เดินมาหยุดอยู่ด้านหน้า มองสำรวจสตรีตัวน้อยในอ้อมแขนท่านหมอที่ตนเคารพนับถือเหมือนพี่ชาย เมื่อเห็นใบหน้านางชัดเจนก็ถึงกับตะลึงงัน แม้นางจะมีใบหน้าซีดเซียวเหมือนคนป่วย ทว่าความงามยังปรากฏให้เห็นชัดเจน จนเขาเผลอเสียมารยาทมองภรรยาผู้อื่นอยู่นาน ก่อนที่เสียงกระแอมของท่านหมอจะดังขึ้นขัดจังหวะ “ขะ…ขออภัยพี่ไป่ชวน” เผยยิ้มแก้เก้อ แล้วถอยออกมา ด้านไป่ชวนก้มลงมองใบหน้างามที่กำลังขึ้นสีแดงเรื่อ คงเพราะกระดากอายคำพูดที่สองพ่อลูกเอ่ยกระมัง แต่น่าแปลกที่นางไม่ปฎิเสธเลยสักนิด ทั้งที่ตนเองก็จำอันใดไม่ได้แท้ ๆ “ข้าไม่ได้จัดงานแต่ง เพราะนางพึ่งหนีตามข้ามา” เป็นคำตอบที่แม้แต่สองพ่อลูกยังหน้าชา พวกเขาอายแทนหญิงสาวยิ่งนัก เพราะบุรุษอันเป็นที่รัก ไม่ได้รักษาหน้านางเลยสักนิด และยามนี้ดวงตาสวยก็โตเท่าไข่ห่านไปแล้ว ‘เห็นข้าไม่ปฏิเสธ เจ้าก็เอาใหญ่เลยนะ หาข้ออ้างที่ดีกว่านี้ไม่ได้หรืออย่างไร’ ก่นว่าเขาในใจ พร้อมกับหลับตาค้อนด้วย “งะ…งั้นหรือ” สองพ่อลูกไม่กล้าถามอันใดต่อ หากหมอหนุ่มเอ่ยเช่นนี้ ก็แสดงว่าเขาไม่อยากพูดมากแล้ว จากนั้นสองพ่อลูกก็จัดแจงเตรียมทำอาหาร ทว่าทั้งคู่ก็ยังคงลอบมองท่านหมอและหญิงสาวที่เขาบอกว่าเป็นภรรยาอย่างสนใจ เพราะปกติแล้วไป่ชวนไม่เคยสนใจสตรีใด ต่อให้พวกนางงามล่มเมืองก็ยังมิอาจคว้าใจเขาได้ และการกระทำเหล่านี้ก็สร้างความอึดอัดให้คนที่พักอยู่ก่อนไม่น้อย โดยเฉพาะไป่ชวนเพราะเขาไม่อาจกลับไปนอนที่เดิมได้ จำต้องนั่งอยู่บนเตียงทำเหมือนตนและคนข้างกายเป็นสามีภรรยากันจริง ๆ “ไป่ชวนลุงขอย่างไก่ป่ากินหน่อยนะ ยังไม่ได้กินอะไรเลย” ขออนุญาตคนที่พักอยู่ก่อน เพราะที่นี่ไป่ชวนเป็นคนค้นพบ และใช้หลับนอนอยู่เสมอยามขึ้นเขามาหาสมุนไพร “ตามสบายท่านลุง ในย่ามมีแป้งปิ้งอยู่จัดการได้เลย ข้าขอตัวพักก่อน” ชายหนุ่มยังคงมีน้ำใจเหมือนเคย สองพ่อลูกพยักหน้ารับ สายตาก็ยังคอยมองสตรีตัวน้อยที่มีใบหน้าซีดเซียว แต่จะถามว่านางเป็นอะไรก็ดูไม่ค่อยเหมาะนัก จึงเอ่ยไปเรื่องอื่นแทน “ไป่ชวนเจ้ารู้เรื่องในเมืองหรือไม่ ยามนี้มีทหารมากมายเดินเพ่นพ่าน ไม่เว้นแม้แต่ในตำบลและหมู่บ้านรอบนอก แต่ละคนวางอำนาจทำตัวไม่เหมือนทหารที่กินภาษีจากราษฎรเลย ข้าล่ะชังน้ำหน้านัก” เอ่ยด้วยน้ำเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เมื่อนึกถึงท่าทางกร่างของทหารใหม่พวกนั้น “ใช่ ก่อนเราจะขึ้นเขามายังถูกตรวจค้นเลยนะ พี่คงอยู่ที่นี่หลายวันแล้วกระมัง เลยไม่รู้เรื่อง” เสิ่นเทาเอ่ยสำทับคำบิดา สายตาก็แอบมองสตรีตัวน้อยที่ยังคงนั่งเงียบ แม้ใบหน้าจะซีดเซียว ทว่าความงามที่มีก็ยังเฉิดฉายให้เห็น ไม่รู้ไป่ชวนหามาจากที่ใดกัน ท่าทางก็เชื่อฟังดีเสียด้วย “ก็พอรู้มาบ้างเมื่อวานข้าลงไปเอาของ ได้ยินว่ามาตามหาพวกกบฏที่หนีรอดมาได้” เอ่ยกับสองพ่อลูก ทว่ามือเรียวกลับดึงเอาผ้าห่มมาคลุมให้คนข้างกายจนถึงคอ เป็นเพราะเขาเห็นสายตาของเสิ่นเทาที่ลอบมองอยู่บ่อยครั้ง “กบฎหรือ พวกมันต่างหากที่เป็นกบฎ แย่งชิงบัลลังก์ของผู้อื่นแท้ ๆ ยังมีหน้ามาว่าผู้อื่นกบฏอีก สหายข้าที่เป็นทหารเล่าให้ฟังว่า ภายในวังเกิดโกลาหลอย่างหนัก เฉิงอ๋องยามนี้ตั้งตนเป็นฮ่องเต้เสียเอง ทั้งที่ราชนิกูลอีกหลายพระองค์ยังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะองค์ชายห้าซึ่งเป็นโอรสของฝ่าบาทกับฮองเฮา เห็นว่ายามนี้ลี้ภัยไปต่างแคว้นแล้ว นั่นต่างหากผู้ที่คู่ควรจะเป็นฮ่องเต้” ลุงหยางเอ่ยอย่างเหลืออด เขาไม่ชอบใจผู้ที่ขึ้นครองราชย์ในยามนี้ เพราะเฉิงอ๋องหาใช่สายเลือดที่แท้จริงไม่ คนผู้นี้ก็แค่บุตรบุญธรรมที่ฮ่องเต้ทรงรับเลี้ยงไว้ตั้งแต่เด็กก็เท่านั้น นึกไม่ถึงว่าเขาจะเนรคุณคิดล้มล้างราชบัลลังก์ สถาปนาตนเองเป็นฮ่องเต้เสียได้ ทว่าหากเขาอยู่ในชุมชน ลุงหยางก็ไม่กล้ากล่าวหรอก แต่ยามนี้อยู่ในป่าและท่านหมอก็เชื่อใจได้ เขาจึงกล้าเอ่ยในสิ่งที่ตนคิด และคงไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นคนในหมู่บ้านก็เช่นกัน “แล้วองค์ชายห้าทรงหนีรอดไปได้จริงหรือเจ้าคะ เขาหนีออกนอกแคว้นจริงหรือ” คนที่นั่งเงียบอยู่นาน จู่ ๆ ก็ถามขึ้นมา ไป่ชวนจึงหันมามองด้วยสายตากดต่ำ เมื่อเห็นท่าทางอยากรู้ของนาง ที่ดูเหมือนจะสนใจเรื่องนี้เอามาก ๆ หญิงสาวจึงยิ้มแห้งใส่ก่อนจะตอบเสียงเบา “ข้าเห็นว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ของบ้านเมือง ใคร ๆ ก็สนใจทั้งนั้น ท่านพี่ไม่อยากรู้หรือเจ้าคะ” นางแสร้งเอ่ยเลี่ยงไป ก่อนจะกลืนน้ำลายข่มความกังวลที่มี เมื่อเห็นแววตาคมดุของเขา พร้อมกับใบหน้าเรียบเฉยที่เผยออกมาอย่างเย็นชา 'คนผู้นี้นิ่งจนไม่อาจคาดเดาความคิดได้จริง ๆ’ นางตกกะไดพลอยโจรต้องรับหน้าที่เป็นภรรยาเขา เพื่อเอาตัวรอด ส่วนเขารับนางเอาไว้เป็นไม้กันหมา หวังใช้นางเป็นเกราะกำบังจากสตรีทั่วทั้งเมือง แล้วเรื่องวุ่นวายก็บังเกิดขึ้นกับสถานะกำมะลอของทั้งคู่